วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

เข้ากรุง ตอนที่ 2

เมื่อกี้ถึงไหนนะ อ้อ...อยู่บนถนนอิสรภาพใช่ไหม รถมันก็วิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านคาร์ฟู (สาขาอะไรไม่รู้) แล้วก็ตรงไปอีก เฮ้อ...คิดผิดแล้วตู อ้อมโลกซะ... สักครู่ใหญ่ๆมันก็พาเราเลี้ยวซ้าย เย...ความหวังของเราใกล้ความจริงแล้ว มองไปข้างหน้ามีสะพานจริงๆด้วย แหมใจชื้นขึ้นเยอะ สะพานอะไรหว่า ไม่รู้จัก แต่คิดว่าคง OK น่ะ มองไปข้างๆมีอีกสะพานหนึ่งซึ่งมีโครงเหล็ก และพอลงจากสะพานทางซ้ายมีศาลเจ้าแม่ทับทิม "สะพานหัน" ป้ายเขาว่าอย่างนั้นก็ตามนั้น เอาล่ะอยู่ฝั่งกรุงเทพแล้ว คงใช้เวลาอีกพักนึงกว่าจะใกล้จุดมุ่งหมายของเรา รถติดนิดหน่อย นั่งจิ้มโทรศัพท์ไปมา เงยหน้ามาอีกทีก็มองเห็นป้ายเมอรรี่คิงส์ เฮ้ย...เลยแล้ว จะโดดลงเลยก็ใจไม่กล้าพอเพราะรถเยอะมาก รอมันเลี้ยวขวาตรงคลองถมก่อนละกัน ซึ่งแยกนั้นมันติด พอถึงจุดนั้นแล้วเราก็โดดลงมาข้ามถนนเพื่อไปยังบ้านหม้อ เฮ้อ...เล่าซะยาวเลย เอาเป็นว่าพอแค่นี้ดีกว่า แต่โดยสรุปก็คือกว่าจะมาถึงบ้านหม้อได้ เราก็อ้อมโลกไปซะ แต่มองในแง่ดี เราก็ได้รู้ว่ามันมีเส้นทางนี้อยู่ด้วย และประโยชน์อีกอย่างคือมีเรื่องมาเล่าลง blog ด้วย เอาล่ะต้องหยุดจริงๆแล้ว ไปก่อนล่ะมีงานรออยู่

เข้ากรุง

เมื่อวานนี้ได้เข้าไปซื้อของที่บ้านหม้อ เดินทางโดยรถตู้ออกจากหน้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ 9 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึงหน้าเมเจอร์ปิ่นเกล้า แต่นั่งรอรถเมล์สายที่ภรรยาบอกคือ 152 ใช้เวลารอนาน....น... มาก ในขณะที่รอก็มีสายอื่นๆ แต่ไม่กล้านั่งเพราะไม่แน่ใจว่าจะไปที่บ้านหม้อได้หรือไม่ อันนี้ต้องย้อนหลังกลับไปตอนเด็กๆก่อนว่า เราเป็นคนที่นั่งรถเมล์ไม่เป็น ขึ้นเมื่อไหร่เป็นหลงเมื่อนั้น เรียกว่าโง่มากเรื่องขึ้นรถเมล์ และเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอยู่บ่อยที่ทำให้เราหลงสายรถเมล์ และที่สำคัญคือบางครั้งตัดสินใจแล้วจากการอ่านป้ายก็มักจะมีเหตุให้เกิดการผิดพลาดอยู่เป็นประจำด้วยหลายเหตุหลายประการที่เป็นลักษณะ random หาข้อสรุปไม่ได้ คือไม่มีดวงในการขึ้นรถเมล์ว่างั้น เอาล่ะเกริ่นมานานเดี๋ยวไม่จบ
หลังจากรอแล้วก็รอ มองเห็นสาย 40 ซึ่งวิ่งมาบ่อยมากแล้วป้ายมันก็บอกว่าผ่านคลองถม แต่ก็เอะใจว่าก่อนเยาวราช ในป้ายมันระบุชื่อย่านที่ไม่เคยไปเช่น พรานนก บางขุนศรี อะไรประมาณนี้ ก็เอาเหอะดีกว่ารอโดยไม่มีจุดหมาย ดังนั้นกระโดดขึ้นไปเลยยังไงก็คลองถมวะ ลองดูจะได้รู้ว่ามันจะพาเราไปไหนบ้าง เอาล่ะเริ่มแรกมันก็ตรงขึ้นไป สักพักมันก็พาเราเลี้ยวขวาไปทางเส้นจรัลฯซึ่งก็ยังโอเค เพราะคาดว่ามันคงไม่ตรงขึ้นไปสะพานปิ่นเกล้าอยู่แล้ว เรายังอารมณ์ดีอยู่เพราะอากาศเย็นสบาย ลมพัดดี ไม่ร้อน....
นั่งไปเรื่อยๆ สัก 10 นาทีสิ่งที่เราเห็นข้างทางคือ ศิริราช ห้าง Makro ร้านบางร้านที่มีคำว่า บางขุนศรี โอเค..ป้ายรถถูกต้องเพียงแต่เราไม่เคยมา ไม่รู้จัก ได้รู้จักกันล่ะ ทีนี้มันเลี้ยวซ้าย เย...น่าจะตรงขึ้นไปสะพานอะไรสักอย่าง (เราคิดไปเอง) เปล่าเลย เพราะสักพักมันก็พาเราเลี้ยวขวา เฮ้ย...เอาแล้วตู มันจะพาตูไปไหนฟะ ลงตรงนี้ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน อดทนไว้... ผ่านวัดอัมพวา รร.ชิโนรส ป้ายบอกการเปลี่ยนเขตจากบางกอกน้อย เป็นบางกอกใหญ่ (ในใจคิด ไปกันใหญ่แล้ว) อ้อม chip หายเลยว่ะ ซึ่งป้ายซอยต่างๆบอกว่ามีซอยอิสรภาพหมายเลขต่างๆ โอย..เมื่อไหร่ตูจะเป็นอิสระจากรถคันนี้ฟะ (เดี๋ยวมาเขียนต่อนะ)

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ตรวจเช็คของเสร็จแล้ว

หลังจากนั่งงมเช็ค freeduino มาสักเกือบชั่วโมง สุดท้ายทุกอย่างก็เรียบร้อย ของใช้งานได้ ไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวเย็นนี้จะเอาไปให้จักรลองทดสอบดู แต่ที่สำคัญต้องลองให้จักรงมดูเองก่อนว่าติดปัญหาอะไรบ้างสำหรับการใช้งาน แล้วเราค่อยมาเฉลยกันว่าเมื่อเช้าที่เราเฟอะฟะหาว่าของเขามีปัญหาคือตรงไหน เอาล่ะทำงานอย่างอื่นต่อ

Freeduino มาแว้ว...

วันศุกร์ที่แล้วสั่ง Freeduino ไปที่คุณช้าง ณ ayarafun.com วันจันทร์ของก็มาถึงบ้าน แต่ยังไม่มีเวลาตรวจเช็คให้ละเอียด แค่มีโอกาสเสียบสาย USB จ่ายไฟเข้าเท่านั้น เลยถือติดมือมาทดสอบที่ทำงาน แต่เพื่อไม่ให้ผิดสัญญากับตัวเองก็เลยนั่งเขียน blog นี้ก่อน และจะได้เขียนลำดับงานที่ต้องทำวันนี้
1. เช็ค freeaduino
2. ลองทำวงจรที่จักรต้องใช้
3. หาวงจรที่จะนำไปสร้าง power supply พรุ่งนี้ต้องเข้าไปซื้อของแล้ว
4. คิดโปรเจ็คที่ใช้ excel ในการตรวจผลข้อสอบที่ได้คุยกับเหมียว
5. เตรียมสอน

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

หลังวันเดินทางไกล

พอดีเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์นี้มีเหตุให้ต้องเดินทางไกลไปถึง จ.นครสวรรค์ แผนที่คิดๆไว้เลยต้องเลื่อนออกไป เช่น เก็บโต๊ะ (เพื่อทำงาน) ออกแบบวงจรสำหรับใช้กับ processing ที่จักรเขียนเอาไว้ เฮ้อ...คิดแล้วหมดแรง แต่ต้องทำเพราะมันเป็นภาระของเรา

แต่อย่างแรกวันนี้ต้องทำคือเขียน blog นี้ล่ะเพราะไม่งั้นได้ผิดสัญญากันแน่ๆ เพราะคงยังมีอีกหลายอย่างที่คิดว่าต้องทำ เช่น คุยกับทางพี่ฉลองเรื่อง VDO Conference และที่ยังนึกไม่ออกว่ามีใครสักคนนัดเอาไว้ช่วงเช้านี้ (เดี๋ยวนี้ต้องจดเอาไว้เสมอ)ดังนั้นวันนี้เอาเรื่องแรกที่ต้องสะสาง
1. ภาษีรถยนต์ (ทำแล้ว)
2. คุยกับพี่ฉลองเรื่อง VDO Conference
3. ประชุม PART แทน ผอ.รวิทัต (ที่ติดภารกิจ)

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

เหลวไหลแล้วเรา

เพิ่งตั้งตัวชี้วัดไปเมื่อวันพุธ วันพฤหัสก็ทำไม่ได้ซะแล้ว ไม่เป็นไรเอาใหม่ละกัน พอดีเมื่อวันพฤหัส
1. ตื่นสาย
2. ตอนเช้ามีกีฬาสีของอะตอม
3. ตอนสายๆต้องมานั่งสอบโปรเจคนักศึกษา
4. กลับบ้านค่ำ
สรุปมีข้อแก้ตัวที่จะใช้เป็น material ในการเขียนของวันศุกร์ (ฮา)

จริงๆแล้วในช่วงระหว่างวันก็พอจะมีช่องว่างที่จะเขียนสักเล็กน้อย แต่เราก็เป็นงี้เรื่อย คือ ตั้งต้นเขียนแล้วนะ กำลังอรัมภบท(เขียนอย่างนี้หรือเปล่าหว่า) กำลังคิดว่าจะเขียนอะไรต่อไป (ใช้เวลานานไปหน่อย) แล้วก็งานเข้า เขียนต่อไปไม่ได้ ก็เลยไม่เสร็จ แถม chrome ดันแฮงอีก หายหมดเลยครับที่เขียนเอาไว้ (2-3 บรรทัด) ช่างมัน

พอกลับบ้านก็ว่าจะเขียน (ว่าจะอีกแล้ว เลยไม่ได้ทำ) ง่วง ทำโน่นทำนี่ (ข้ออ้าง) ก็เลยไม่ได้เขียน

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องหาข้ออ้างว่ะ และอย่าคิดว่ามันเป็นภาระที่ต้องทำ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ (สับสนกันเองอย่างแรง) คำอธิบายคือ เมื่อเราคิดว่ามันเป็นภาระ มันจะมีแรงต้าน และหาข้ออ้างมาค่อยๆหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องทำ เช่น หายใจ เราจะไม่มีข้อเกี่ยงงอนที่จะทำ

สับสนไหมที่เขียน...ไม่รู้ แต่เราต้องบันทึกไว้ก่อน เพราะมันเป็นความจริงที่สมองคิดได้ในตอนนี้ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ได้ทำอะไรผิด ต้องเขียนเท่านั้น แล้วเราน่าจะรู้ตัวเองว่าอะไรเป็นอะไร ที่สำคัญคือการฝึกฝนตัวเอง

ขอหยุดประเด็นนี้ไว้แค่นี้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวต้องเข้าไปสอบนักศึกษาก็จะไม่ได้โพสต์

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

เข้าอีหรอบเดิมอีกแล้ว แก้ไงดี

อย่างที่คิดไว้ว่าความถี่ในการเข้าเขียนบล๊อกมันจะเริ่มถดถอยลง เพราะเข้าอีหรอบเดิมซึ่งมีพัฒนาการดังต่อไปนี้
1. ลืมเข้ามาเขียน
2. เคยชินกับการลืม
3. คิดว่าลืมแล้วก็ช่างมัน
4. หาข้ออ้างชั่วคราวในการไม่เข้ามาเขียน(งานเยอะ, ลูกกวน, ฯลฯ)
5. พัฒนาเป็นข้ออ้างถาวร
6. หยุดเขียนในที่สุด
7. บล๊อกร้าง

เอ..ถ้างั้นทำไงดี ต้องให้เป็น routine ให้ได้ เหมือนต้องอาบน้ำทุกวัน โดยอย่าลืมว่าการเขียนบล๊อกนี้เป็นการฝึกตนเอง จะมีสาระหรือไม่ก็ได้ เน้น...ฝึกตนเองให้เขียนทุกวัน

Plan 1: เขียนอย่างน้อย 1 บล๊อก โดยตั้งเวลาเขียนก่อนเข้านอนทุกวัน
Plan 2: เขียนอย่างน้อย 1 บล๊อก โดยตั้งเวลาเขียนเมื่อตื่นนอนทุกวัน
Plan 3: เขียนอย่างน้อย 1 บล๊อก โดยตั้งเวลาเขียนเมื่อเริ่มต้นการทำงานทุกวัน

มาแยกแยะข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดี
Plan 1 >> เป็นการสรุปเรื่องที่เข้ามาในหัวในแต่ละวัน
Plan 2 >> ตอนเช้าเป็นช่วงที่หัวสมองจะ fresh
Plan 3 >> ก่อนการทำงานเป็นการตั้งสติที่ดี

ข้อเสีย
Plan 1 >> เวลาก่อนนอนยังต้อง donate ให้ลูก (แต่ถ้าลูกนอนเองได้ คงอีกประมาณ 5 ปีเป็นอย่างต่ำ)
Plan 2 >> เวลาตื่นยังไม่แน่นอน และบางครั้งอาจจะเกิดการโกลาหลถ้าตื่นสาย
Plan 3 >> อาจจะยืดเยื้อ และงานอาจเข้า

ขอวิเคราะห์และตัดสินใจก่อนนะ....
1. ตัด Plan 1 ไปก่อนรอลูกโตแล้วค่อยเอามาเป็นตัวเลือกอีกครั้ง
2. การจะตัด Plan 2 หรือ 3 แบบโช้ะๆคงไม่ดีเพราะจริงแล้วถ้าแต่ละวันเราพลาดจาก Plan 2 เราก็ใช้ Plan 3 ซึ่งกรณี Plan 2 กับ 3 นี้จะทำให้เราตั้ง focus ในแต่วันได้อีกด้วย

สรุป
เอาทั้ง Plan 2 และ 3 โดยใช้เวลาในการประเมินการปฏิบัติการ 1 เดือน (สิ้นเดือนมกราคมละกันง่ายๆ) โดยที่จะต้องเขียนทุกวันไม่เว้นวันหยุดทุกประเภท เอาล่ะเริ่มได้เลยตั้งแต่วันนี้ ทั้งนี้อย่าลืมว่าอย่างน้อย 1 บล๊อกนะ มากกว่านั้นก็ถือว่าเป็น advantage (หวังว่าจะเป็นแบบนั้น) ลุย... (บล๊อกนี้ถือเป็นของวันนี้ครับ)